การจัดการความรู้โดยใช้โมเดลปลาทู
"โมเดลปลาทู" เป็นโมเดลที่เปรียบการจัดการความรู้เป็น 3 ส่วนคือ
หัวปลา หมายถึง ส่วนที่เป็นเป้าหมาย วิสัยทัศน์ หรือทิศทางการจัดการความรู้
โดยจะต้องเป็นส่วนของผู้ดำเนินกิจกรรม KM ทั้งหมด
ตัวปลา หมายถึง ส่วนของการแลกเปลี่ยนความรู้
ซึ่งจะต้องกระตุ้นให้ผู้ดำเนินกิจกรรม KM มีการแลกเปลี่ยนความรู้
โดยเฉพาะความรู้ซ่อนเร้นที่มีอยู่
และอำนวยให้เกิดการเรียนรู้แบบเป็นทีมเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนความรู้และเกิดนวัตกรรมในที่สุด
หางปลา หมายถึง ส่วนของคลังความรู้ ที่ได้จากการเก็บสะสม
เกร็ดความรู้ที่ได้จากกระบวนการแลกเปลี่ยนความรู้
ซึ่งเราอาจเก็บส่วนของหางปลานี้ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ICT ซึ่งเป็นการสกัดความรู้ที่ซ่อนเร้นให้เป็นความรู้เด่นชัด
นำไปใช้และยกระดับต่อไป
ตัวอย่างโมเดลการจัดการความรู้(Knowledge
management Model)จากที่ต่างๆ
วันนี้กระผมได้นำ โมเดลการจัดการความรู้(Knowledge
management Model) ที่ไปพบเห็นมา มาให้เพื่อนๆได้รับชมกัน
เพื่อให้เพื่อนๆสามารถนำเอาโมเดลการจัดการความรู้ ไปปรับใช้กับตนเอง
โดยทุกคนสามารถที่จะเขียนโมเดลการจัดการความรู้
ได้ง่ายๆด้วยตนเอง
โมเดลการจัดการความรู้(Knowledge
management Model) มาตรฐานวิชาชีพครูแบบขนมเค้ก
โมเดลการจัดการความรู้(Knowledge
management Model) แบบปลาหมึก
โมเดลการจัดการความรู้(Knowledge
management Model) แบบต้นไม้
โมเดลการจัดการความรู้(Knowledge
management Model) แบบแจกันดอกไม้
โมเดลการจัดการความรู้(Knowledge
management Model) แบบสายรุ้ง
โมเดลการจัดการความรู้
ทำขึ้นก็เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการความรู้
อย่างหนึ่งที่มีกระบวนการจัดการความรู้ดังนี้
1. การกำหนดเป้าหมาย: กำหนดว่าเราจะเลือกเรียนแขนงไหน เพื่อให้ตรงกับงาน
ที่เราจะทำในอนาคต
2. การสร้าง/จัดหาความรู้: การสร้างความรู้ การใฝ่เรียน พยายามหาความรู้เข้าสมอง
อยู่ตลอดเวลา
3. กลั่นกรอง/คัดเลือก: พยายามกลั่นกรองความรู้ว่าความรู้ไหนควรหรือไม่ควร
ดีหรือไม่ดี
4. จัดเก็บความรู้: เราต้องนำความรู้ที่ได้มาจัดสรรให้สามารถเข้าใจได้ง่่ายและง่าย
ต่อการนำมาใช้
ประโยชน์อีกครั้ง
5. การใช้งาน: เมื่อออเราจัดเก็บความรู้ เราก็ต้องนำความรู้มาใช้งานบ้าง เพื่อเป็นการ
กระตุ้นสมองไปในตัว
6. แบ่งปัน/แลกเปลี่ยนความรู้: พยายามแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนบ่อยๆ เ
ผื่อจะได้ความรู้ใหม่ๆเข้ามา
7. การประยุกต์ใช้: นำความรู้ที่ได้เรียนมาปรับ ประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันให้ได้มากที่สุด
8. ประมวลผล/วัดผลความรู้: หมั่นทดสอบความรู้ที่ตัวเองเรียนมาว่า ที่เรียนมานั้นเรา
มีความรู้จริงแค่ไหน
9. ยกย่อง/ชมเชย: เมื่อเราประมวลความรู้ เราก็ควรจะให้รางวัลแก่ตนเอง
เพื่อเป็นปลอบใจให้แก่ตนเองสู้ต่อไป
10. การเผยแพร่ความรู้: ข้อนี้สำคัญมาก เมื่เราสำเร็ตการศึกษา
ควรนำความรู้ที่ได้เล่าเรียน
มาเผยแพร่ให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม
ต่อประเทศชาติบ้าง
ความหมายของ KM
Davenport and Prusak (1998) กล่าวว่า ความรู้ หมายถึง ส่วนผสมของกรอบประสบการณ์ คุณค่า สารสนเทศ ที่เป็นสภาพแวดล้อมและกรอบการทำงาน สำหรับการประเมินและรวมกันของประสบการณ์และสาระสทเทศใหม่
Srinivas กล่าวถึง ช่องว่างของความรู้ (Knowledge Gaps) โดยสรุปว่า ช่องว่างของความรู้ที่แสดงให้เห็นถึงว่า "ตนเองไม่มีความรู้" เป็นหนทางหนึ่งของ
องค์การในการพัฒนาบุคคล โดยใช้กระบวนการของการจัดการความรู้เพื่อลดช่องว่างและเติมเต็มความรู้ให้กับบุคลากรเหล่านั้น
ข้อมูล (Data) หมายถึง ข้อมูลดิบที่เกิดจากการทำงานประจำวัน ซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลในระดับปฏิบัติการ (transaction process) และเมื่อข้อมูลดิบเหล่านั้น
ได้ผ่านกระบวนการประมวลผล เช่น การจัดกลุ่มของข้อมูลขึ้นเป็นรายงาน หรือการคัดเลือกข้อมูลที่ไม่จำเป็นออกจากระบบเหล่านี้เป็นต้น เราจะถือว่าผลผลิตที่ได้จากการ
ประมวลผลข้อมูลดิบเหล่านั้น เป็น สารสนเทศ (Information) ซึ่งมีคุณค่าระดับหนึ่งในการใช้งาน ผู้ใช้จะเป็นผู้กำหนดคุณค่าเหล่านั้น สารสนเทศหนึ่ง ๆ อาจมี
คุณค่าสำหรับคนกลุ่มหนึ่ง แต่อาจไร้คุณค่าสำหรับคนอีกหนึ่งก็ได้ ในทางกลับกันสารสนเทศเดิมที่เคยไร้คุณค่าสำหรับคนอีกกลุ่มเดิมนั้น อาจกลับมามีคุณค่าใหม่ในภายหลัง
ก็ได้ดังนั้น การกำหนดคุณค่าจึงขึ้นอยู่กับ "ความตรงต่อความต้องการในการใช้งาน" ส่วน ความรู้ (Knowledge) เป็นกระบวนการของการขัดเกลา เลือกใช้ และ
บูรณาการ การใช้สารสนเทศเหล่านั้นจนเกิดเป็นความรู้ใหม่ (new knowledge) ความรู้ใหม่จึงเกิดขึ้นจากการผสมผสานความรู้ และประสบการณ์เดิมผนวกกับ
ความรู้ใหม่ที่ได้รับ ความรู้ดังกล่าวเป็นสิ่งที่อยู่ภายในบุคคลเป็นความรู้ที่ไม่ปรากฏชัดแจ้ง (tacit knowledge) หากเมื่อความรู้เหล่านั้นได้ถูกถ่ายทอดออกมาในรูปของ
การเขียนที่เป็นลายลักษณ์อักษร ความรู้นั้นก็จะกลายเป็นความรู้ที่ปรากฏชัดแจ้ง (explicit knowledge) ความรู้ดังกล่าวจะมีคุณค่าปรากฏเมื่อนำมาใช้ในการบวนการ
ตัดสินใจ (decision making) สารสนเทศเดิมที่เคยไร้คุณค่าสำหรับคนอีกกลุ่มก็ได้ ในทางกลับกันสารสนเทศเดิมที่เคยไร้คุณค่า
วัตถุประสงค์และประโยชน์ของการจัดการความรู้
เป้าหมายหลักของการจัดการความรู้ คือ การใช้ประโยชน์จากความรู้มาเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงานขององค์การเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันขององค์การ การจัดการความรู้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วหรือกำลังพัฒนาก็ตาม
วัตถุประสงค์ของการจัดการความรู้ มีดังนี้
1. เพื่อปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานทางธุรกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
2. เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ
3. เพื่อปรับปรุงเทคนิค กระบวนการ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาองค์ความรู้และนำความรู้นั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์
ประโยชน์ของการจัดการความรู้ได้ 8 ประการ ดังนี้
1. ป้องกันความรู้สูญหาย : การจัดการความรู้ทำให้องค์การสามารถรักษาความเชี่ยวชาญ ความชำนาญ และความรู้ที่อาจสูญหายไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของบุคลากร เช่น การเกษียณอายุทำงาน หรือการลาออกจากงาน ฯลฯ
2. เพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ : โดยประเภท คุณภาพ และความสะดวกในการเข้าถึง ความรู้ เป็นปัจจัยของการเพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจ เนื่องจากผู้ที่มีหน้าที่ตัดสินใจต้องสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ
3. ความสามารถในการปรับตัวและมีความยืดหยุ่น : การทำให้ผู้ปฏิบัติงานมีความเข้าใจในงานและวัตถุประสงค์ของงาน โดยไม่ต้องมีการควบคุม หรือมีการแทรกแซงมากนักจะทำให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถทำงานในหน้าที่ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดการพัฒนาจิตสำนึกในการทำงาน
4. ความได้เปรียบในการแข่งขัน : การจัดการความรู้ช่วยให้องค์การมีความเข้าใจลูกค้า แนวโน้มของการตลาดและการแข่งขัน ทำให้สามารถลดช่องว่างและเพิ่มโอกาสในการแข่งขันได้
5. การพัฒนาทรัพย์สิน : เป็นการพัฒนาความสามารถขององค์การในการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาที่มีอยู่ ได้แก่ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า และลิขสิทธิ์ เป็นต้น
6. การยกระดับผลิตภัณฑ์ : การนำการจัดการความรู้มาใช้เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และบริการ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มคุณค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์นั้น ๆ อีกด้วย
7. การบริหารลูกค้า : การศึกษาความสนใจและความต้องการของลูกค้าจะเป็นการสร้างความพึงพอใจ และเพิ่มยอดขายและสร้างรายได้ให้แก่องค์การ
8. การลงทุนทางทรัพยากรมนุษย์ : การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันผ่านการเรียนรู้ร่วมกัน การจัดการด้านเอกสาร การจัดการกับความไม่เป็นทางการเพิ่มความสามารถให้แก่องค์การในการจังและฝึกฝนบุคลากร
สวยงามและให้ประโยชน์ดีมากค่ะ
ตอบลบ